ปัญหาหรือข้อเสีย ส่วนใหญ่ของการทำอาชีพนี้คือ " การปรับตัว "
1. ปรับเวลาลำบาก
จริงๆแล้วอาชีพนี้ทำให้มีเวลานอนมากกว่าชาวบ้านมากมาย
บินเสร็จแต่ละไฟลต์ต้องการเวลานอนประมาณ 12-15 ชม.(สำหรับเรานะ)
สำหรับไฟลต์ที่ออกกลางคืน ถึงที่หมายเช้า จะลำบากที่สุด เพราะแลนด์แล้ว
ก็นอนเลย ตื่นมาก็บ่ายๆเกือบเย็น กลางคืนก็ต้องรีบนอน เพราะตอนเช้าต้องรีบกลับ
ด้วยไฟลต์เช้า .... แต่ที่ลำบากที่สุดคือนอนไม่หลับ ...ซะที
อึดอัดและทรมานมาก .......
นอกจากเวลานอน ก็คือเวลากินด้วย ... ด้วยความที่กลางคืนก็กิน
กลางวันก็กิน ทำให้เป็นคนที่ต้องกินตลอดเวลา พอกลับมาหยุดอยู่เมืองไทย
จึงต้องกินแล้วกินอีกกินแล้วกินอีก เป็นวงจรอุบาทว์สิ้นเปลืองทรัพยากรสุดๆ
เวลาทานยา ก็สับสนสิ้นดี อันไหนเป็นอาหารเย็น ก็ไม่รู้
เมื่อกี้ตอนเย็นเพิ่งทานเอง ตอนตีสองก็ทานอีกมื้อ ... เลยเริ่มกินมั่วละ
555 จะตายมั้ยเนี่ย
2.ภาวะโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ จากการทำงานบนเครื่องบินมากมาย
อาการเมาเครื่อง / การขาดความชื้น Dehydration
... ทำให้ผิวหนังแห้ง เหี่ยว (แก่เร็ว)
ทำให้ระคายคอ หรือเจ็บคอง่ายมากๆ
อาการปวดหู / ปวดเมื่อยตามตัว / ปวดหลัง
ขาโต !!!! ขอย้ำ ... ขาจะโตขึ้นจริงๆ
เพราะเป็นงานที่ต้องยืนติดต่อกันเป็นเวลานาน(มาก)
ขาจะใหญ่ขึ้นๆ เรื่อยๆจนกลายเป็นขาโต๊ะบิลเลียดไปในที่สุด
3. เป็นทาสของบริษัทตลอด 365 วัน
ถึงแม้ว่าตารางการบินในแต่ละเดือนของแอร์แต่ละคน
จะมีการกำหนดไว้ล่วงหน้าแล้ว (ทุกวันที่ 25 ของแต่ละเดือน)
ก็หาได้นิ่งนอนใจได้ ว่าจะว่างจริงๆ
เพราะเราไม่มีทางรู้ว่าลูกเรือคนไหนจะ(แกล้ง)ป่วย /ป่วยเล่น / ป่วยจริงขึ้นมาเมื่อไร
... คนรับกรรม ก็คือแอร์ซักคน ที่ พี่สเก็ต manager ของบริษัทโทร.ไป
แล้วบอกว่า
"น้องคะ สเก็ตเปลี่ยนค่ะ น้องต้องมาบินวันที่ .. นะคะ"
แล้วก็ฝันไปเลยนะ กับการบอกพี่เขาว่า
" เอ่อ พี่คะ หนูบินไม่ได้จริงๆค่ะ หนูซื้อบัตรคอนเสิร์ต /หนูมีนัดกะแฟน / หนู ... bla bla blaไว้แล้ว "
บริษัทเขาถือว่า เรียกตอนไหน ต้องบินได้เมื่อนั้น ........
จะมาบอกป่วย ก็ไม่ได้ เพราะหนูไม่ได้ลาไว้นี่คะ ..
อย่างนี้เราถือว่าปฏิเสธบินค่ะ ...... ต้องโดนทำโทษ ...........
เฮ้อ ... ดังนั้น การไปเที่ยวต่างจังหวัดของแอร์แต่ละคนจึงเป็นเรื่องที่ยากยิ่งนัก
(กรณีนี้เราพูดตามข้อบังคับของบริษัท .... แบบประเภทตุกติก เราไม่เกี่ยว ไม่แนะนำค่ะ )
หากจะลาที ต้องลาล่วงหน้าอย่างน้อยประมาณ 2 เดือนขึ้นไป .....
เหมือนเรายอมขายเวลาให้กับบริษัท เลยเนาะ
นอกจากการบินตามตาราง (สเก็ต) แล้ว ...
เรายังมี Airport แสตนด์บาย และ Home แสตนด์บาย
(แล้วเป็นไงเนี่ย ต้องพิมพ์อังกฤษคำ ไทยคำ )
แอร์พอร์ทแสตนด์บาย หมายถึงแอร์ที่เป็นตัวสำรอง
โดยที่ต้องแต่งหน้า ทำผม แต่งเครื่องแบบ เก็บกระเป๋าพร้อมมาบิน
หากมีลูกเรือคนใด
ไม่สามารถมา show up ตามเวลาที่กำหนดได้
โดยมีเหตุขัดข้องเช่น ป่วยกระทันหัน (ปวดท้อง/เป็นไข้/ท้องเสีย)
หรือ รถติดยาวเหยียด มาไม่ทันแน่ๆ ...
เมื่อเกิดเหตุการณ์ข้างต้นแล้ว พวกที่เป็นแอร์พอร์ทแสตนด์บายก็มีอัน
หนาวๆร้อนๆกันทั่วหน้า เพราะต้องมีใครสักคนที่จะต้องไปบินแทนคนๆนั้น
อันหมายถึง สเก็ตบินของตัวเองทั้งเดือนนั้นก็จะต้องถูกเปลี่ยน ...
ความฝันทั้งหมด(ที่เตรียมการไว้ล่วงหน้า)ของเดือนนั้นก็อาจจะพังทลายลง
บรรดาแฟนานุแฟน ที่มารออยู่หน้าบริษัท เตรียมรับกลับบ้าน
ก็ต้องเศร้า กลับบ้านตัวเปล่า ไม่มีตุ๊กตาหน้ารถกลับไปด้วย
แต่ถ้า แอร์ทุกคนที่ทำ Duty (หมายถึงแอร์ที่ต้องบิน) มากันครบถ้วน
พร้อมหน้าพร้อมตา ....... แอร์พอร์ทแสตนด์บายก็มีอันโล่งใจกลับบ้านได้
นอกจากนี้ ที่คล้ายๆกับแอร์พอร์ทแสตนด์บายก็คือ โฮมแสตนด์บาย
หมายถึง .. นั่งรอที่บ้าน (เท่านั้น รอที่ต่างจังหวัดก็ไม่ได้นะ) เฉยๆ
หน้าที่ก็แค่นั้นแหละ
วันดีคืนดี ก็จะมีพี่โทร.มาเรียกไปบินบ้าง (โทร.มาเช็คบ้าง ว่าอยู่บ้านจริงเปล่า)
ถ้าใครเกิดตุกติก ..แอบหนีไปเที่ยวต่างจังหวัด ...
วันนั้นความซวยก็จะมาถึง พี่สเก็ต เหมือนจะเล่นไสยศาสตร์
โทร.มาเรียกไปบิน ...........เมื่อไม่เจอ ก็เป็นเรื่องใหญ่แหละค่ะ
เพราะถือว่าบกพร่องในหน้าที่
เป็นแอร์เนี่ย การตรงต่อเวลา และความรับผิดชอบต่อหน้าที่ เป็นสิ่งสำคัญมากๆค่ะ
4. ขาดสารอาหาร .....
สวัสดิการของแอร์อย่างหนึ่งก็คือ อาหารบนเครื่อง ฟรีค่ะ
แต่อาหารที่เสิร์ฟบนเครื่องนั้น ทั้งหมดเป็นอาหารประเภทแช่แข็ง ทำให้สุกแล้ว
เอามาอุ่นใหม่บนเครื่อง ดังนั้น เวลาไปบินเนี่ยก็ไม่ค่อยได้ทานอาหารสดๆ ใหม่ๆ ซักเท่าไรเลยค่ะ
บางอย่างทานซ้ำไปซ้ำมามากๆ ก็เกิดเป็นความเบื่อหน่ายและเอียนได้
เห็นรุ่นพี่หลายคน เลิกทานอาหารบนเครื่องไปนานแล้ว ......
วิธีแก้ของแอร์บางคน คือการหันไปหาน้ำพริกค่ะ
ทั้งน้ำพริกนรก / สวรรค์ / กุ้งกรอบ / น้ำพริกปลาแห้ง ฯลฯ
คลุกเคล้า หรือว่าผสมมะนาว เหยาะโชยุ (ซอสถั่วเหลืองญี่ปุ่น) ซักนิด
= น้ำจิ้มแจ่ว ค่ะ จิ้มกับสเต๊กเนื้อ แซบยิ่งนัก
เกิดมาไม่เคยทานเลยค่ะ น้ำพริกทุกชนิดที่เขียนไว้ข้างบน ....
พอได้มาเจออาหารบนเครื่องบ่อยๆ แล้ว บางครั้ง การกินแค่น้ำพริกกับข้าว
ก็สุดยอดกว่าการกินปลาแซลมอน ราดครีมซอส เป็นไหนๆ :P
เอ เราว่าเราพูดเรื่องข้อเสียอยู่ ไหงกลายเป็นเรื่องของกินไปได้
ก็คือ จะสรุปว่า อยู่เมืองไทยเนี่ย สวรรค์ที่สุดแล้วค่ะ
อาหารการกินก็สบาย ... อิ่มจังตังค์อยู่ครบ(ก็พ่อจ่ายนี่นา อิอิ)
5. เหงา / ขาดการติดต่อกับที่บ้าน ที่รัก เพื่อน ๆ ที่เมืองไทย
ใครที่เสพติดการติดต่อสื่อสาร ก็ค่อนข้างทุรนทุรายหน่อย
เวลามาบินไกลบ้านไกลเมือง
ใครที่เป็นคนขี้เหงา อาจจะเศร้าหนักช่วงที่บินคนเดียวแรกๆ
หรือไม่เจอเพื่อนเลย .......แล้วต้องเจอกับเหตุการณ์ร้ายๆ
เคราะห์ซ้ำกรรมซ้อน หรือแม้แต่ ผู้ร่วมงานนิสัยไม่ดี ...
ทะเลาะกับแฟนบ่อยๆ ก็ เปลืองตังค์หน่อยค่ะ
แต่ที่หนักสุด คือ การอกหัก /ถูกทิ้ง เลิกกับแฟน จากการวิจัย(มั่ว)อีกแล้ว
พบว่า เป็นฝันร้ายขั้นสูงสุด ของการไปบินเลยค่ะ
นอกจากจะสามารถปฏิบัติงานด้วยความทุลักทุเลด้วยใจที่เลื่อนลอย แล้ว
ยังต้องต้อนรับผู้โดยสารด้วยตากลมโต และบวมเต็มไปด้วยคราบน้ำตา
ใครที่ต้องบินกับเพื่อนร่วมงานที่กำลังอยู่ในสภาพ broken heart woman
ก็อาจจะต้องกลายเป็นที่ปรึกษา ที่ระบาย ของคนๆนั้นไปเลย
อยู่เมืองไทย แวดล้อมด้วยเพื่อนฝูง และครอบครัวดูแลอย่างใกล้ชิด
แต่ถ้าไปบิน อยู่คนเดียวในห้องแคบๆในโรงแรม บรรยากาศเหงาๆ
โห ...... ยิ่งกว่าเล่นมิวสิคเลยค่ะ
แล้วจะหาว่าไม่เตือน
วิธีแก้
-ซื้อบัตรโทรศัพท์ระหว่างประเทศ
-ซื้อโทรศัพท์มือถือระบบเติมเงิน prepaid ....
จากการวิเคราะห์ผู้ใช้หลายรายแล้วพบว่า ยิ่งมีมือถือยิ่งเปลือง
เพราะอยู่ว่างๆปุ๊บ โรคติดมือถือจะกำเริบ หยิบมาใช้โดยไม่รู้ตัว
-อย่าหาเรื่องทะเลาะกับครอบครัว และคนรัก ยามอยู่ต่างประเทศ
เพราะมันเปลือง !!!
6. การปรับตัวเรื่องสิ่งแวดล้อม วัฒนธรรม และอาหารการกิน
จากที่เคยชิน คุ้นเคยกับสิ่งรอบๆตัว ตอนที่อยู่บ้านเกิดเมืองนอนเรา
พอไปอยู่เมืองโน้น เมืองนี้ การปรับตัว ก็กลายเป็นสิ่งสำคัญที่สุดของการอยู่รอด
7.ที่เหลือ..คิดไม่ออกแล้ว
ถามแต่ละคน คำตอบก็คงไม่เหมือนกัน
จุดมุ่งหมายของการเขียนสองหัวข้อ ข้อดี-ข้อเสียของการเป็นแอร์
เราไม่ได้มาฟันธง บอกว่า เป็นแล้วจะแย่แบบนี้ หรือแบบนั้น
เพียงแค่จะมาเล่าประสบการณ์ที่เจอกับตัวเองให้ฟัง
ตัดสินข้อดี ข้อเสียกันตามเวลา และสถานการณ์
เรื่องราวเรื่องเดียวกัน จังหวะหนึ่ง
รู้สึกดีกับมันโตตรๆ แต่พออีกจังหวะหนี่ง หรือสถานการณ์อีกแบบ
โคตรแย่กับเราเลย ...........
ข้อดี ข้อเสีย สำหรับเรื่องบางเรื่อง ในความคิดเรา
แบ่งข้างกันขนาด ขาว-ดำ ชัดเจนแบบนั้นไม่ได้
ต้องอยู่ที่เจ้าตัว เจ้าของเรื่อง ความรู้สึกของพวกเราเองด้วย
No comments:
Post a Comment