
เมื่อ 8 วันก่อน ....
มีบินไปนาริตะ
เช้าวันหนึ่ง เปิดม่านออกมา ต้องตะลึงกับสีขาวโพลนของหิมะ ไปทั้งเมือง
เนื่องจากเป็นหิมะที่ตกเป็นวันแรกของที่นี่ รวมไปถึงที่โตเกียวด้วย
เปิดทีวีดู ผู้คนก็มาเล่นหิมะ ตื่นเต้นกันใหญ่ .........
ส่วนเรา อดไม่ได้ บ้าเห่อ ตามประสาเด็กโซนร้อน... หยิบกล้องมากดไม่หยุด
พอตอนเย็นเตรียมตัวพร้อมไปบิน หิมะยังไม่หยุดตก .. เช็คข่าวในทีวี
ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะมีปัญหาอะไรที่สนามบินนาริตะ ....
จะมีก็แต่ที่ สนามบินฮาเนดะ (สนามบินภายในประเทศ) ที่ประกาศยกเลิกไฟลต์ไปเกือบหมดแล้ว
หิมะ ก็ยังไม่หยุดตก
หลังจากลูกเรือขึ้นเครื่องไปเตรียมความพร้อม ที่จะบิน ...
เตรียมตัวเสร็จ ...
ชีฟ เพอร์เซอร์ ก็ประกาศว่า เนื่องจากหิมะยังตกอยู่ เลยยังไม่สามารถ take off ได้
ก็รอกันไป... โดยที่ไม่รู้ว่าต้องรออีกนานแค่ไหน
ตอนแรกบอก รออีก 40 นาที ... ต่อมาบอก อีก 1 ชั่วโมง ... 2 ชั่วโมง
จากเวลาที่ขึ้นเครื่องไปตอน 5 โมงเย็น ก็กลายมาเป็น สามทุ่ม สี่ทุ่ม
เดินเข้าเดินออกห้องนักบิน นั่งกินขนม นอนอ่านหนังสือ ก็แล้ว ยังไม่ได้ทำงานซะที
จะแคนเซิลหรือเปล่า ก็ไม่รู้อีก
เนื่องจาก
สนามบินนาริตะ ปกติจะเปิดทำการแค่เที่ยงคืน เนื่องจากคิวที่จะ take off
ของเครื่องบินเรา อยู่ในลำดับต้นๆ ... จึงได้แต่รอๆๆ และรอ จนคิวถัดๆไป
ของไฟลต์อื่นเขาทยอยๆ แคนเซิลกันไปแล้ว
เกือบ 5 ทุ่มกว่าๆ หิมะก็เริ่มหยุดตก เริ่มเห็นแววจะได้บินแล้ว (เฮ้อ)
พอ 5 ทุ่มครึ่ง หลังจากละหายหิมะที่เกาะตัวเครื่องบินไปเสร็จหมด
ก็ให้ผู้โดยสารเริ่มขึ้นเครื่องได้ .... แต่ละคนอยู่ในสภาพง่วงนอน และอ่อนเพลีย
จริงๆแล้ว ไฟลต์ของเราต้องไปถึงมะนิลา ตอน 4 ทุ่ม
วงจรชีวิตวันนี้ของแอร์แบบเรา จึงเน่าสนิท เพราะง่วงนอนมากๆ
เที่ยงคืน ...เริ่ม Take off
04.40 .. ถึงท่าอากาศยานนานาชาติมะนิลา โดยหมดสภาพ....
เช้าวันรุ่งขึ้น ตามตารางบินปกติ เราจะต้องออกเดินทางตอนประมาณ 10 โมงเช้าเพื่อกลับมาถึงนาริตะ
ตอน บ่าย 2-3 ... แต่เนื่องจากเวลาการทำงานเราเลื่อนออกไปซะดึกขนาดนั้น ตามกฎแล้ว
ลูกเรือจะต้องได้พักผ่อนอย่างน้อย 12 ชั่วโมง ...

โชคดีที่มีกัปตันที่ใจดี และเข้าใจ
กัปตันเลยช่วย Fight กับ Ground Staff ที่มะนิลา ต่อเวลาไปเรื่อยๆ จนได้เวลา take off เป็นช่วง 4-5 โมงเย็น ของ วันรุ่งขึ้น
---->
โรงแรมดุสิตธานี ที่กรุงมะนิลา
พอเข้าห้อง ก็แทบจะสลบ เพราะเหนื่อยและเพลียมาก
ทีวีที่นี่ มีช่อง 3 และ ช่อง 7 ยิงผ่านดาวเทียมมาจาก
เมืองไทยด้วย เลยได้ความรู้สึกเหมือนมาเที่ยวในประเทศตัวเอง ....
เช้าวันรุ่งขึ้น นัดกับพี่ๆ ตอนเที่ยง ... จะออกไปเดินห้างสรรพสินค้าใกล้ๆ (ซึ่งใหญ่โตมโหฬาร มาก)
ห้างที่นี่ คล้ายๆ กับบ้านเมืองเรา ... ต่างกันที่พนักงานขาย จะตากลมโต ออกสไตล์แขกๆ นิดๆ
แต่คนที่นี่ส่วนใหญ่ก็นับถือ คริสต์ นิกายโรมันคาทอลิก ... เพราะสมัยก่อนเคยเป็นเมืองขึ้นของ
ประเทศสเปน (ประเทศนี้เคร่งศาสนาสุดๆ) .... ต่อมาก็เป็นเมืองขึ้นของอเมริกา ...
มีเวลาเดินห้างแค่ ชม. ครึ่ง แลกเงินเปโซเสร็จ ก็ตระเวนหา
ร้านขายของที่ระลึกก่อนใครเพื่อน... เงินหมดเกลี้ยง
ภายในร้านเดียว ทั้งโปสการ์ด ตุ๊กตา แม่เหล็กติดตู้เย็น
ตุ๊กตาเซรามิค รถสองแถวคันเล็กๆ ของฟิลิปปินส์ ....... ต่อด้วย ซุปเปอร์มาร์เก็ต ... ข้าวของเครื่องใช้
ก็คล้ายๆกัน ของกิน ก็เหมือนๆกัน ..... เผลอแป๊บเดียว ต้องรีบเดินกลับโรงแรม เพื่อเปลี่ยนชุด แต่งตัว
สภาพบ้านเมือง วิวทิวทัศน์ที่นี่ เหมือนยืนถ่าย
จาก สถานีรถไฟฟ้าซักแห่งในกรุงเทพฯ เลยแฮะ ....
เมื่อทาน Breakfast (ตอนบ่ายโมง) ที่ทางโรงแรมจัดให้เสร็จ ก็เตรียมพร้อมหิ้วกระเป๋าขึ้นรถ ...
มุ่งหน้าสู่สนามบินนานาชาติ Ninoy Aquino Int'l Airport ......
ขึ้นเครื่องประมาณ 4 โมงกว่าๆ ..... แต่กว่าจะได้ Take Off ก็เกือบ 6 โมงเย็น ... ทั้งๆ ที่ตอนแรก ได้ข่าวมาว่า อาจจะไม่ได้กลับวันนี้ เพราะทาง
ATC (Air Traffic Control) ที่ญี่ปุ่น ไม่ให้เครื่องกลับไป ... การจราจรภายในสนามบินนาริตะกำลังติดขัด
เนื่องจากความโกลาหลจากหิมะเมื่อคืนนี้
แต่ กัปตันเราก็เก่งเหลือเกิน บอกว่า ยังไงก็จะเอาเครื่องขึ้นให้ได้ .......... เลยเริ่มให้ผู้โดยสารทยอยขึ้น
เครื่อง แต่ละคนหน้าตาบอกบุญไม่รับ ...
เพราะดีเลย์มาเกิน ครึ่งวันแล้ว .....
เผลอแป๊บเดียว เครื่องก็มาถึง สนามบินนาริตะ ตอนสี่ทุ่ม .... ก็นึกว่าจะหมดแล้ว เฮ้อ สิ้นสุดภาระนี้ไปซะที
ปรากฎว่า... ตอนนี้ Gate ทุก Gate ที่มีอยู่ 99 แห่งในนาริตะ เต็มไปด้วยเครื่องบินจอดอยู่ เลยไม่สามารถ
ให้ผู้โดยสารลงจากเครื่องได้ ... Bus Gate ก็เต็มอีก เลยรอๆๆๆๆ ต่อไปจน ห้าทุ่มครึ่ง กว่าจะมีรถ Bus มารับ (ไปซะที)
เริ่มต้นจากผู้โดยสารกระเป๋าหนัก Business Class ลงจากเครื่องก่อน (เสมอ) ตามด้วยผู้โดยสารชั้นประหยัด ออกจากเครื่องทีหลัง .......
เมื่อเข้ามาใน Terminal ในสนามบินนาริตะ ก็พบกับเหตุการณ์
มีแต่คนๆๆ และผู้คนมากมาย นอนกันกระจายเต็มไปหมด จน Ground staff ต้องมาแจกผ้าห่มกัน
คาดว่า เฉพาะคืนวันนั้น มีผู้โดยสารติดค้างอยู่ในสนามบิน กลับบ้านไม่ได้
Transit กลับไปประเทศตัวเองก็ไม่ได้ เพราะดีเลย์กันไปหมด ....
แถมยังหาโรงแรมรอบๆ สนามบินที่มีมากกว่า 20 โรงแรมก็ไม่ได้ เพราะเต็มเอี๊ยด ทุกที่
พอเดินมาถึง Immigration Area ก็พบคุณป้าคนไทย อายุประมาณ 50-60.. นั่งอยู่บนรถเข็น
ป้าเล่าให้ฟังว่า ต้องต่อเครื่องจากนาริตะไปอเมริกา แต่ตกเครื่องไปแล้ว เพราะมาไม่ทัน ไม่ได้ทานข้าว
มาเกือบ 8 ชั่วโมงแล้ว ต้องไปติดต่อที่ไหนก็ไม่รู้ ถามเจ้าหน้าที่ เขาก็ชี้กันไปตึกโน้นตึกนี้ จนไม่รู้จะทำยังไง
แอร์คนไทยแบบเรา ที่มีอยู่
10 กว่าชีวิต เลยเริ่มปฏิบัติการแอร์ใจดี เปิดกระเป๋าส่วนตัว หยิบขนม น้ำ และนม
มาให้คุณป้ามากมาย จนชาวต่างชาติ แถวนั้นมองด้วยความอิจฉา ....
พอเดินออกมาที่บริเวณรับกระเป๋า ก็ต้องตกตะลึง กับกระเป๋า บริเวณสายพาน ที่เยอะมากมาย วางระเกะระกะเต็มไปหมด
สนามบินนาริตะ เป็นหนึ่งในศูนย์กลางฝั่งแปซิฟิค ที่แต่ละวัน
จะมีเครื่องมาแวะพัก มี Transit Flight มากมายมหาศาล
พอเกิดเหตุการณ์โดมิโน จากคืนแรก ที่หิมะตก ..... ระบบ
ทั้งตารางเวลา ก็เลยรวนไปหมด เศร้าเลย ...
เดินกลับมาที่ ออฟฟิศของสายการบินที่อยู่ในสนามบินนาริตะ .. บอกเวลาเกือบเที่ยงคืนแล้ว
ก็นั่งรถรถบัส รอบพิเศษที่จะมารับกลับไปโรงแรม (ยังดีที่เรายังมีที่พัก) ...
กว่าจะได้นอนก็เกือบตี 2 ..........
สิ้นสุดการเดินทาง .... อันยาวนานซะที
4 comments:
Oh gosh I wish I had experienced something like this.. irregular flight never happened to me loey a' very boring a'
bye the way, very much I love all the decription with pictures you posed na!
:) Just came back to read my blog again..... Miss u PJ
Post a Comment