
หิ้วท้องกลับถึงบ้านสามทุ่ม...
แกะถุงเส้นหมี่น้ำตกลูกชื้นเนื้อ...
หอบมานั่งหม่ำที่หน้าทีวี...
ความสุขส่วนตัวเล็กๆ หลังเลิกงาน ...
ค่ำคืนนี้ไม่มีชื่อหนังน่าดู....
เปิดเจอช่อง 16...
เขียนไว้ว่า The Oprah Winfrey Show...
แค่ชื่อ โอปร้า ก็แสนจะคุ้นหู...
ไม่เคยฟังรู้เรื่องแบบ 100% เต็มๆ สักครั้ง...
ครั้นสมัยยังสาว ตอนได้บินไปฮาวายบ่อยๆ ...
มาค่ำคืนนี้ยูบีซีเป็นใจดลบันดาลให้บังเกิด
คำบรรยายภาษาไทย....
สำหรับวันนี้เป็นเรื่องราวของ
"Two moms, two different choices"
ระหว่าง แม่ที่อยู่บ้าน เปรียบเทียบกับ แม่ที่ทำงานนอกบ้าน
ติดตามชมอย่างจริงจัง และตั้งใจฟัง (อ่าน) ระหว่างการปะทะคารมระหว่าง แม่ที่ทำงานนอกบ้าน กับแม่ที่เลี้ยงลูกอยู่บ้าน แม่ที่ทำงานนอกบ้าน บอกว่า เธอเลือกทางของตัวเอง โดยที่ต้องแบ่งเวลาให้ทุกอย่างๆ อย่างมีประสิทธิภาพ แม้จะต้องแบกร่างไร้วิญญาณ (เพราะยังพะวงเรื่องงาน) ไปดูลูกเตะฟุตบอลด้วย และเธอก็ไม่ได้รักลูกไปน้อยกว่าแม่คนอื่นเลย แม่ที่เลี้ยงลูกที่บ้านบอกว่า ไม่อยากพลาดเหตุการณ์สำคัญๆ ของลูกๆ ไป คำพูดแรก รอยยิ้มแรก ฯลฯ และมั่นใจว่าถ้าไม่มีปัญหาทางการเงิน ก็ไม่ควรที่จะพลาดการได้เลี้ยงลูกของเธอเอง
เถียงไปเถียงมา (ตอนแรกๆ ดูไม่ทัน) มาถึงคนที่ทำงานเก่งอีกคนหนึ่ง บอกว่ามีลูกยากมาก เมื่อได้มีลูกสาวสักคน นั่นคือของขวัญชิ้นพิเศษในชีวิตแล้ว เลยลาออกมาอยู่กับลูก และไม่ยอมพลาดสิ่งสำคัญในชีวิตที่เกิดขึ้นกับลูก.... จนมาวันหนึ่งที่คิดอยากจะกลับไปทำงานต่อ เลยเอาลูกไปฝากที่สถานรับเลี้ยงเด็ก "ที่นั่นบอกว่า ให้เอากล้องถ่ายรูปมาด้วยนะ เพื่อที่จะไม่พลาดการได้บันทึกสิ่งที่น่าจดจำจากลูกของเธอ" พอฟังจบ เธอบอกว่า ทำไม่ลง จึงเปลี่ยนใจขอเลี้ยงลูกของเธอเองก่อนอีกสักปี หลังจากนั้นค่อยมาประเมินสถานการณ์กันใหม่ ว่าจะทำยังไงดี ..ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ฉลาดไม่น้อย
มีอีกความคิดเห็นหนึ่งจากแม่ที่ทำงานนอกบ้านบอกว่า ในวันที่ต้องเอาลูกไปฝากสถานรับเลี้ยงเด็ก เป็นอีกวันที่สุดแสนจะทรมาน เพราะลูกน้อยของเธอพร่ำบอกว่า "ผมจะไม่ดื้อ ผมจะไม่ซน ผมจะเป็นเด็กดีของแม่ ขอแค่อย่างเดียว คืออย่าทิ้งผมไว้ที่นี่เลย ผมไม่อยากอยู่ที่นี่" และแล้ว เธอก็ตัดใจฝากลูกไว้ทั้งน้ำตา พลางแอบดูว่าลูกชายของเธอจะอยู่ได้ไหม จะเป็นอย่างไร หลังจากนั้น 5 นาที ลูกชายของเธอก็ปรับตัวเข้ากับที่ใหม่ได้ เล่นกับเพื่อนใหม่อย่างสนุกสนาน .......
คุณหมอก็เสริมขึ้นว่า "Let's teach them how to do when they get hurt" เพราะความเจ็บปวด การพลัดพราก คือสัจธรรมของชีวิต การสอนให้ลูกหาวิธีปรับตัวให้ได้กับสิ่งเหล่านี้ด้วยตัวแกเอง หาวิธีที่จะ"เยียวยา" ฟื้นตัวจากความเจ็บปวด ความทุกข์ ได้เอง (มิใช่การปกป้องพิทักษ์อยู่ตลอดเวลา)
จากนั้นถึงตอนท้าย ก็มีคุณแม่อายุมากแล้ว สองท่าน บอกเล่าความเสียใจอยากแก้ไขอดีตของตัวเอง คนหนึ่งบอกว่า ถ้าเธอเลือกได้ เธอไม่อยากจะเป็นแม่ที่อยู่บ้าน เลี้ยงลูก ทำงานบ้านแต่เพียงอย่างเดียว เธออยากจะได้ทำงานนอกบ้าน เธอไม่อยากหยุดแค่ การเลี้ยงหมา พาหมาไปเดินเล่น ไปรับลูกที่โรงเรียน เธอรู้สึกว่าเธอไม่น่าเสียสละให้ครอบครัวและลูกจนลืมนึกถึง"ความต้องการของเธอเอง จนทำให้สูญเสียความเป็นตัวของเธอเองไปในที่สุด"(Losing my position & identity)
แม่อีกท่านหนึ่งบอกว่า เธอทำงานหนักมากเกินไป ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ ก็อยากจะอยู่กับลูกให้นานๆ กว่านี้ อยากอยู่ด้วยในตอนที่ลูกเดินได้ก้าวแรก ฟันหักซี่แรก การแข่งขันฟุตบอลทุกนัด ฯลฯ เธอเสียดายสัญชาตญาณความเป็นแม่ ที่อยากทำให้ลูกมากกว่านี้ เธอบอกลูกสาวของเธอเองว่า ถ้าเธอแต่งงานไป จงอย่าได้ทำงานนอกบ้าน จงอยู่บ้านและดูแลลูกของเธออย่างเต็มที่......
แล้วโอปรา ก็หันไปสัมภาษณ์ลูกสาวของแม่คนที่สอง ว่าคิดอย่างไร กับการที่แม่ของเธอต้องทำงานนอกบ้าน เธอตอบว่า เธอชื่นชม และรู้สึกว่าแม่รักเธอมากจริงๆ เธอไม่ได้น้อยเนื้อต่ำใจ และไม่ได้เสียใจกับการที่แม่ต้องทำงานนอกบ้านเลยแม้แต่น้อย เมื่อฉันแต่งงานไป สามีบอกเธอว่า เธอควรจะอยู่บ้านดูแลลูก เพราะแม่ของเขาก็ทำแบบนั้น ..จากนั้น ไม่ได้ลงลึกในรายละเอียดว่าตกลงแล้ว ลูกสาวคนนี้ตกลงจะเลือกใช้ชีวิตแบบใด ....
สรุปปิดท้าย ด้วยคำพูดของคุณหมอว่า คุณไม่จำเป็นจะต้องทำให้ได้ เป็นให้ได้ พยายามเป็นทุกสิ่งที่คุณต้องการ เพราะมันเป็นไปไม่ได้กับการมีทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นทุกสิ่งทุกอย่าง ไปพร้อมๆ กัน สิ่งสำคัญที่สุดคือ อย่าตัดสินแทนคนอื่น อย่าเป็นแม่ที่เลี้ยงลูกอยู่บ้าน แล้วคอยบอกคนอื่นว่า แม่ที่ทำงานนอกบ้านน่ะ ไม่รักลูกตัวเองหรอก .....
คอยใส่ใจความรู้สึก เช็คความต้องการที่แท้จริงที่จะทำให้คุณรู้สึกสดชื่น กระฉับกระเฉง มีความสุขและมีคุณค่ากับสิ่งที่ได้ทำ Pay attention to what you need, what makes you feel alive, what makes you feel happy... Do not just tell your kid what to DO and DON't ... just open their way and let them find their way.
และแล้ว โพสท์วันนี้ ก็เกี่ยวเนื่องกับ "ความรู้สึกระหว่างการเดินทาง" ที่มิใช่ "จุดมุ่งหมายสุดท้ายแห่งการเดินทาง"
มาถึงคนไทยกันบ้าง แม่ที่"ต้อง"ทำงานนอกบ้าน กับ แม่ที่เลี้ยงลูกอยู่บ้าน ทำไมต้องใส่คำว่า "ต้อง" ให้ด้วยหนอ....
ก็ยังขอเชื่อมั่นในวิธีเลี้ยงลูกของหม่าม้าซาโยะ ที่เป็นแบบ Working at home Mama พร้อมเชื่อมั่นและยอมรับในทุกๆ การตัดสินใจของลูกสาวมาโดยตลอด หม่าม้า...ถ้าอ่านมาถึงบรรทัดนี้อ่านต่ออีกนิดนะคะ
"Love you na.. mommy"
เผลอแป๊บเดียว พิมพ์เรื่องคุณแม่ คุณลูกซะยาวเหยียด เอ ชักอยากเป็นแม่คนแล้วล่ะ (hahaha)
p.s รายการนี้ ... ชอบนะ ชอบดูคนเถียงกัน.. ชอบดูคนเถียงกันแบบไม่นอกประเด็น...ไม่เหมือนการร่างรัฐธรรมนูญที่บ้านเราเลย -_-'
No comments:
Post a Comment