มองไปรอบตัว ตามร้านอาหาร ร้านก๋วยเตี๋ยว หรือ โรงอาหาร
อาจเคยเจอ น้องๆ ตัวเล็กๆ หิ้วของพะรุงพะรัง
เป็น พวงมาลัย ตุ๊กตาตัวเล็กๆ หรือไม่ก็ พวงกุญแจ กระดาษทิชชู่
ปากกา ขนม ลอตเตอรี่ ฯลฯ สุดแล้วแต่จะหามาได้
พร้อมคำถาม
“ซื้อไหม คะ ซื้อไหมครับ”
“พี่ ช่วยหนูซื้อหน่อย น้า น้าค้า ช่วยหนูด้วย หนูขายไม่ได้เลยวันนี้ ”
พร้อมน้ำเสียงเว้าวอน ปานจะขาดใจ แถมสิบนิ้วประนมมืออย่างงดงาม
บ่อยครั้งอาการเสนอขายสินค้า Direct Sale เหล่านี้ ถูกผู้กระทำ
นิยามอาการนี้ด้วยคำว่า “ตามตื๊อ”
ตื๊อเท่านั้นที่ครองโลก ตื๊อแล้วตื๊ออีก ยังไม่ซื้อใช่ไหม หนูก็จะตื๊อ .......
หลายคนถูกใจสินค้าเหล่านั้น ปฎิบัติการขาย สิ้นสุดลง คนขายอิ่มเอมใจ
คนซื้อก็สมหวัง ได้ของที่ต้องการ
หลายคนใจดี ใจบุญ โถ .... น้าเหมาหมดเลยแล้วกัน ......
หลายคนสงสาร ใจอ่อน หรือแถมด้วยอาการอ่อนใจ
สุดท้าย ก็ควักเงินซื้อสินค้าเหล่านั้น
หลายคนไม่ซื้อ ไม่สนใจ ส่ายหัว ทำหน้าเบ้ หันหน้าไปทางอื่น
หลายคนไม่ซื้อ แต่ลึกๆ อดสะท้อนใจ ไม่ได้ นี่เราทำถูกไหม
เราใจร้าย ใจดำ อำมหิตเกินไปไหม
หลายๆ คำถามผุดขึ้นมาจากใจ แต่ไม่อาจหลุดพ้นจากปาก ของผู้ถูกตามตื๊อ
“ ทำไมร้านนี้ถึง ปล่อยให้เข้ามาขายของถึงในนี้ น่ารำคาญที่สุด ”
“ พ่อแม่ของเด็กพวกนี้ อยู่ที่ไหน น่าสงสารจังเลย ทำไมถึงไม่ได้
“ เฮ้อ เซ็ง คนจะกินข้าว ดูซิ กินไม่ลงเลย ”
“ ดูผู้ชาย คนนั้นสิ สงสัยเป็นหัวหน้าแก๊งค์ ”
ฯลฯ
จากวิชาสร้างเสริมประสบการณ์ชีวิตอันน้อยนิดที่เกาะบาหลี อินโดนีเซีย
ระดับการตื๊อมากกว่านี้นับสิบเท่า
ปริมาณนักขาย มากกว่าเกือบ 20- 30 เท่า
จากความเคยชินของการซื้อขาย แบบตัวต่อตัว
พระเจ้าช่วย น่ากลัวยิ่งนัก
ประหนึ่ง ถูกรุมทำร้าย ด้วยสินค้าของนักขายจากทุกสถาบัน
ตะเบ็งเสียงแข่งกัน ต่อราคา ขึ้นลง เหมือนยืนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์.......
ขึ้นรถไปแล้ว ยังเปิดประตู โผล่หัว ชะโงกหน้า ยื่นมือ ถือสินค้าทิ่มเข้ามาในรถ .......
คิดเสียว่า เจอ Direct Sale แบบเมืองไทยตอนนี้ โชคดียิ่งนัก
เด็กบางคน ไม่มีพ่อไม่มีแม่ ไร้ภูมิลำเนา ไร้สัญชาติ ต้องทำงานตั้งแต่เด็ก
ไม่ได้เรียนหนังสือ อาชีพแรกในชีวิตของเด็กพวกนี้ คือนักขาย
โรงเรียนชีวิตของพวกเขา คือ ถนน หนทาง สถานที่ชุมชนต่างๆ
ไม่มีตำราเรียน ไม่มีภาคทฤษฎี ก็ได้ฝึกภาคปฏิบัติแล้ว
สิ่งสำคัญที่สุด ณ เวลานั้น คือ การหาเงิน เลี้ยงปากเลี้ยงท้อง ปัจจัยพื้นฐานแรกสุด
ของการดำรงชีวิตเยี่ยงมนุษย์
สิ่งหนึ่ง ที่สามารถประคองจิตใจเด็กเหล่านี้
คือ รอยยิ้มแบบมีเมตตา (ไม่ใช่ยิ้มแบบแสยะ ยิ้ม อี๋ อี้ นะ)
ของเพื่อนมนุษย์ สัตว์ประเสริฐพันธุ์เดียวกัน
ทุกคนมีโอกาสเลือก มีโอกาสตัดสินใจในบางการกระทำ .........
ซื้อหรือไม่ เป็นสิทธิ์ของทุกคน
อย่างน้อยที่สุด ยิ้มหวานๆ ให้ก็พอ
อย่าปล่อยให้เด็กเหล่านี้ เติบโตเป็นผู้ใหญ่ ด้วยความทรงจำอันขื่นขมจากวัยเยาว์
ประสบการณ์ความแห้งแล้งน้ำใจจากคนรอบข้าง
นอกเหนือจากเงิน สิ่งใด หรือโอกาสใดที่อยากแบ่งปัน หยุดลังเล
เลิกคิดมาก อยากทำอะไรให้ก็ทำเลย
หากยิ้มให้แล้ว พบความเฉยเมย ใบหน้าอันบึ้งตึงของน้อง (ก็พี่ไม่ซื้อหนูซะที)
ก็อย่าเพิ่งท้อใจ พรุ่งนี้ยิ้มให้ใหม่ได้ (ถ้าเป็นนักขายขาประจำ)
อย่าคิดมาก ให้ไปแล้ว ให้ไปเลย อย่าหวังอะไรอีก .....
Just Smile ……..
ป.ล
จากรายงานการวิจัย(ของเราเอง) พบว่า การยิ้มบ่อยๆ ไม่ได้มีผลก่อให้เกิดริ้วรอยที่อุจาดตา
ถึงเกิดริ้วรอย ก็เป็นริ้วรอยอันงดงามแห่งความเมตตา
อันตรายจากแสงแดด กลับทำอันตรายต่อผิว และเป็นปัจจัยก่อให้เกิดริ้วรอยได้มากกว่าหลายเท่า
ที่มา
วันนี้ระหว่างนั่งกินก๋วยเตี๋ยวแถวๆบ้าน
เจอน้องตัวเล็กๆ คนหนึ่งที่เดินมาเสนอขายทองม้วนถุงยักษ์
เราบังเอิญยิ้มให้ (แต่ไม่ได้ซื้อ)
ไม่คาดคิด
น้องคนนั้นโปรยยิ้มแฉ่ง กลับมาให้เรา
..... และเดินจากไป...................
Subscribe to:
Post Comments (Atom)
3 comments:
อ่านตอนนี้แล้ว...
คนอ่านก็ยิ้มอยู่เหมือนกัน
ไอ้บ้า ... เพื่อนช้านบ้าไปแล้ว ... 55
(แต่แก .. นางงามรักเด็กมากๆ ... แสดดด)
โฮะๆ แหม ท่านช้างคะ...
ดิฉันก็นางงามเก่า(ตกกระป๋อง)นะฮะ
อา โฮะๆๆๆ
(หัวเราะแบบเรโกะด้วย ช่วยจินตนาการตามที)
-_-' บ้าไปแล้วจริงๆ
Post a Comment